ทุนประกันรถยนต์ คิดยังไง คืออะไร หลายคนยังไม่รู้วิธีการคำนวณ และ เมื่อถึงเวลาต่อประกันรถยนต์ หลายคนอาจจะไม่รู้ ว่าควรเลือกทุนประกันเท่าไหร่ ยิ่งเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองครอบคลุมสูงสุดนั้น ควรเลือกทุนประกันเท่าไร แบบไหนที่เรียกว่าคุ้มค่ากับความเสียหาย จริง ๆ
มาทำความรู้จักคำว่า ทุนประกัน เบี้ยประกัน และ รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง กันก่อน
ทุนประกัน หมายถึง สินไหมทดแทน หรือ จำนวนเงินสูงสุดที่บริษัทประกันจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันในกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือ กรณีรถเสียหายโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะจ่ายให้ตามเงื่อนไขที่กรมธรรม์ระบุไว้ เป็นจำนวนมากถึงหลักแสน
เบี้ยประกัน หมายถึง ราคาขาย หรือ เงินที่ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันซื้อประกัน กรณีซื้อประกันมักจะเป็นหลักพันถึงหลักหมื่น และ มีทั้งรายเดือน และรายปี
รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง คือ รถยนต์ได้รับความเสียหาย จนไม่อาจนำไปซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ คือ เสียหายไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ในขณะเกิดความเสียหาย สามารถเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Pakanpaide.com
ทุนประกันรถยนต์ คิดยังไง มาดูกัน
ทุนประกันรถยนต์ คิดยังไง สำหรับใครที่ถอยรถใหม่ หรือ อยากต่อประกันชั้น 1 แนะนำให้คำนวณจากราคารถ โดยทุนประกันที่เหมาะสม จะอยู่ที่ 80% ของราคา ณ ปัจจุบัน แต่ทุกปี ราคารถจะลดลงตามค่าเสื่อม ก็อย่าลืมนำค่าเสื่อมมาคำนวณด้วย เช่น ราคา ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 800,000 บาท 80% ของ 800,000 เท่ากับ 640,000 ฉะนั้นทุนประกันที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 640,000 บาท (ยืดหยุ่นได้ ) เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนรถเสียหายโดยสิ้นเชิง ทางบริษัทประกันภัยจะทำการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยยึดตามมูลค่าของรถยนต์ในขณะนั้น ถ้าเราเลือกทำประกันที่ให้ทุนประกันสูงกว่า หรือ เท่ากับมูลค่าของรถยนต์ จะทำให้เสียค่าเบี้ยประกันอย่างคุ้มค่า แต่ถ้าทุนประกันต่ำกว่า จะทำให้เราเสียค่าเบี้ยประกันเกินความจำเป็น
กรณี ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม
กรณีที่นำรถไปติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมพิเศษ รวมมูลค่าแล้วเกิน 20,000 บาท อาทิ ล้อแมกซ์ เครื่องเสียง หลังคากระบะ ถังแก๊ส ฯลฯ ให้ทำการแจ้งบริษัทประกัน ก่อนทำประกัน เพื่อเพิ่มทุนประกันที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งด้วย ประกันชั้น 1 ประกันรถยนต์ ที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม และคุ้มค่าที่สุด ให้ความคุ้มครองในทุกกรณี ทุกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูก หรือ ฝ่ายผิดก็ตาม รวมถึงในกรณีก็สามารถเคลมได้ เช่น เฉี่ยว ชน ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ หรือ แม้แต่ชนรั้วบ้าน ชนเสาไฟฟ้า ขูดกำแพง เฉี่ยวฟุตบาท ประกันชั้น 1 ก็ให้ความคุ้มครองเช่นกัน ความคุ้มครองสำหรับผู้เอาประกัน ช่วยลดเบี้ยประกันรถยนต์ ชั้น 1
ข้อดีของการทำประกันชั้น 1 มีส่วนลดมากมาย
1. หากเราไม่เคยเคลมประกัน หรือ เป็นฝ่ายถูกมาโดยตลอด และ ต่อประกันกับบริษัทเดิม ทางบริษัทประกันก็จะมอบส่วนลด ประวัติดีให้กับคุณในปีถัดไป ช่วยให้เราซื้อประกันรถชั้น 1 ได้ในราคาที่ถูกลง แต่ยังได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าเหมือนเดิม
2. ระบุค่าเสียหายส่วนแรก หรือ Deductible ก็คือวงเงินที่เราจะต้องรับผิดชอบหากเกิดอุบัติเหตุ และ เราเป็นฝ่ายผิดนั่นเอง ซึ่งหากเราขับรถปลอดภัยไม่ค่อยได้เคลม ก็แนะนำให้ระบุค่าเสียหายส่วนแรก เพื่อประหยัดค่าเบี้ยประกัน เพราะค่าเสียหายในส่วนนี้เราจะจ่าย ก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายผิดเท่านั้น
3. ระบุชื่อผู้ขับขี่ (ส่วนลดเพิ่มเติม 5 – 20%) หากอยากได้เบี้ยประกันชั้น 1 ราคาที่ถูกลง ก็อย่าลืมระบุชื่อ ซึ่งสามารถระบุได้ถึง 2 คน (แนะนำสำหรับรถยนต์ที่มี ผู้ขับ 1 – 2 คน) จะทำให้เบี้ยประกันลดลงได้ถึง 5 – 20 %
4. ติดกล้องหน้ารถ (5 – 10% จากราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ) การติดกล้องหน้ารถนอกจากจะช่วยเป็นหลักฐานให้คุณเมื่อเกิด อุบัติเหตุแล้ว ยังช่วยลดค่าเบี้ยประกันลงได้ถึง 5 – 10% ซึ่งเป็นนโยบายของคณะกรรมการกำกับ และ ส่งเสริมประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
5. เลือกประกันแบบซ่อมอู่ การเปลี่ยนจากประกันชั้น 1 แบบซ่อมศูนย์มาเป็นแบบซ่อมอู่นั้น ก็สามารถช่วยให้เราประหยัดประกันลงได้ และ ยิ่งถ้าได้อู่ใกล้บ้านที่ฝีมือดี และ ไว้ใจได้ การซ่อมที่อู่ก็อาจไม่แตกต่างจากการซ่อมที่ศูนย์
สรุป ประกันภัยชั้น 1 เหมาะกับใครบ้าง
1. มือใหม่หัดขับ ประสบการณ์น้อย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
2. ขับรถป้ายแดง ออกรถป้ายแดงยิ่งต้องหวงรถเป็นเองปกติที่ไม่อยากให้มีรอยขีดข่วน จึงเหมาะกับการทำประกันภัยชั้น 1
3. ขับรถเก่า แต่อยากทำประกันชั้น 1 รถอายุเกิน 7 ปี อยากได้ความครอบคุ้มครองสูง
4. ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วไป แท้จริงแล้วประกันชั้น 1 เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน ที่ต้องการให้รถที่คุณรักได้รับความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะรถชน รถชนสิ่งของ รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม สามารถแจ้งเคลมประกันชั้น 1 ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อม
คุณสามารถเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Pakanpaide.com